วันที่ 31 มีนาคม
ที่พิพิธภัณฑ์แรงงานไทย น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย(คสรท.)
ร่วมกับสมาชิกคสรท. แถลงข่าวผลการศึกษาค่าครองชีพกับค่าจ้างปัจจุบันของแรงงาน ว่า
จากการศึกษาสำรวจค่าครองชีพของแรงงานในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2558 จำนวน 2,933 คน จาก 12 จังหวัด
ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ นครปฐม ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรสาคร พระนครศรีอยุธยา สระบุรี
ชลบุรี นนทบุรี ระยอง อ่างทอง
โดยการการศึกษาเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายรายวันระหว่างเดือนสิงหาคม 2556และเดือนมีนาคม 2558 พบว่า ในเดือนสิงหาคม 2556 มีค่าใช้จ่ายรวมต่อวันอยู่ที่ 352.53 บาท เดือนมีนาคม 2558 อยู่ที่ 360.72 บาท เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.19 บาท โดยค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าเดินทาง/ค่าน้ำมันรถ ค่าไฟฟ้า ค่าอาหาร ค่าโทรศัพท์ ของใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างสบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น
น.ส.วิไลวรรณ กล่าวอีกว่า แรงงานส่วนใหญ่ที่สำรวจอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์ ฯลฯ อายุระหว่าง 20 – 39 ปี ร้อยละ 82.2 ซึ่งพบว่าส่วนมากมีภาระเลี้ยงดูบุคคลอื่นที่ไม่มีรายได้ เช่น บิดา มารดา และพบแรงงานที่มีรายได้ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำถึงร้อยละ 30.93
ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้การพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำของคณะกรรมการค่าจ้างในเดือนตุลาคมนี้ปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำจาก300 บาท เป็น 360 บาททั่วประเทศ เนื่องจากเห็นว่าค่าครองชีพทั่วประเทศปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งหลังจากนี้จะนำเสนอข้อมูลต่อ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐบาล เพื่อใช้พิจารณาในการปรับค่าจ้างต่อไป
ถามว่าเหตุใดค่าจ้างที่ขอปรับขึ้นจึงต่ำกว่าที่เคยเสนอขอไปก่อนหน้านี้ น.ส.วิไลวรรณ ตอบว่า ก่อนหน้านี้เสนอขอให้รัฐบาลปรับขึ้นเป็น 460 บาท โดยรวมค่าใช้จ่ายในทุกๆ ด้านของแรงงาน แต่ในปีนี้ที่เสนอที่ 360 บาทนั้น ได้ตัดค่าเช่าบ้านและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าผ่อนสินค้า ค่ารักษาพยาบาลออก จึงทำให้ตัวเลขลดต่ำลง ดังนั้นอัตราที่เสนอในครั้งนี้จึงถือว่ามีแต่ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น เพราะไม่ได้อยากเรียกร้องในอัตราสูงมากจนนายจ้างรับไม่ได้ นอกจากนี้ขอให้รัฐจัดทำโครงสร้างค่าจ้างให้ชัดเจน และสร้างกลไกในการคุ้มครองแรงงานที่ทำงานเกิน 1 ปี ให้มีการปรับค่าจ้าง
โดยการการศึกษาเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายรายวันระหว่างเดือนสิงหาคม 2556และเดือนมีนาคม 2558 พบว่า ในเดือนสิงหาคม 2556 มีค่าใช้จ่ายรวมต่อวันอยู่ที่ 352.53 บาท เดือนมีนาคม 2558 อยู่ที่ 360.72 บาท เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.19 บาท โดยค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าเดินทาง/ค่าน้ำมันรถ ค่าไฟฟ้า ค่าอาหาร ค่าโทรศัพท์ ของใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างสบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น
น.ส.วิไลวรรณ กล่าวอีกว่า แรงงานส่วนใหญ่ที่สำรวจอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ชิ้นส่วนยานยนต์ปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์ ฯลฯ อายุระหว่าง 20 – 39 ปี ร้อยละ 82.2 ซึ่งพบว่าส่วนมากมีภาระเลี้ยงดูบุคคลอื่นที่ไม่มีรายได้ เช่น บิดา มารดา และพบแรงงานที่มีรายได้ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำถึงร้อยละ 30.93
ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้การพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำของคณะกรรมการค่าจ้างในเดือนตุลาคมนี้ปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำจาก300 บาท เป็น 360 บาททั่วประเทศ เนื่องจากเห็นว่าค่าครองชีพทั่วประเทศปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งหลังจากนี้จะนำเสนอข้อมูลต่อ พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐบาล เพื่อใช้พิจารณาในการปรับค่าจ้างต่อไป
ถามว่าเหตุใดค่าจ้างที่ขอปรับขึ้นจึงต่ำกว่าที่เคยเสนอขอไปก่อนหน้านี้ น.ส.วิไลวรรณ ตอบว่า ก่อนหน้านี้เสนอขอให้รัฐบาลปรับขึ้นเป็น 460 บาท โดยรวมค่าใช้จ่ายในทุกๆ ด้านของแรงงาน แต่ในปีนี้ที่เสนอที่ 360 บาทนั้น ได้ตัดค่าเช่าบ้านและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าผ่อนสินค้า ค่ารักษาพยาบาลออก จึงทำให้ตัวเลขลดต่ำลง ดังนั้นอัตราที่เสนอในครั้งนี้จึงถือว่ามีแต่ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น เพราะไม่ได้อยากเรียกร้องในอัตราสูงมากจนนายจ้างรับไม่ได้ นอกจากนี้ขอให้รัฐจัดทำโครงสร้างค่าจ้างให้ชัดเจน และสร้างกลไกในการคุ้มครองแรงงานที่ทำงานเกิน 1 ปี ให้มีการปรับค่าจ้าง